วันอังคารที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2559

เจาะไอร้อง ครั้งแรกแต่ไม่ใช่ครั้งสุดท้าย EP.2

<<... เจาะไอร้อง... >> ครั้งแรกในชีวิต แต่ไม่ใช่ครั้งสุดท้าย EP.2

เก็บภาพบรรยากาศภาพในงานบุญมาให้ดูนิดหน่อยค่ะ ภาพ 1 ภาพ บอกเล่าได้มากกว่า 1000 ตัวอักษร ให้ดู 3 ภาพ ฉะนั้นบอกได้ 3000 ตัวอักษร



พวกเธอเห็นอะไรสามภาพนี้ไหม

เราเห็น...............ทหารคนนั้น  ที่หันหลัง เค้ามีลักยิ้มด้วย ฮิฮิ พวกเธอไม่มีวาสนาได้เห็นหน้าเค้าหรอก

ผิดประเด็น..............เราเห็นว่าทุกคน มีหน้าที่ของตนเอง ถ้าเราแต่ละคนทำหน้าที่กันอย่างสมบูรณ์ เกื้อกูลเมตตาต่อกัน สังคมก็เป็นไปอย่างสงบสุข  รู้สึกดีจัง

หลังจากงานบุญ ได้เวลาเที่ยง ที่วัดเค้าก็มีข้าวฟรีเลี้ยงที่โรงอาหารจ้า วิ่งหน้าตั้งเข้าไปเลย มีพี่ป้าน้าอา คือ ชาวบ้านทั้งนั้น มาช่วยกันทำอาหาร ตั้งแต่เตรียมงาน ตีสี่!! ยันเก็บงานเลย คือ เรามีหน้าที่ทานอย่างเดียว แม่ๆป้าๆบอกไม่ต้องล้างๆ ป้าล้างเอง ไม่ต้องเก็บโต๊ะ ลุงเก็บเอง ถนัดกว่า พริบตาเดียว ทุกอย่างถูกเก็บเรียบร้อยหมด


โห...........พูดไม่ถูกเลย ต้องพิมพ์เอาอย่างเดียว

มันคือความสามัคคี มันคืออุดมการณ์เพื่อส่วนรวม มันคือค่านิยม 12 ประการ สรุปแล้ว เราไม่ค่อยเห็นภาพแบบนี้บ่อยครั้งนัก ประทับใจการร่วมแรงร่วมใจของชาวบ้านละแวกนั้นจริงๆค่ะ

ระหว่างการอิ่มเอมใจ และไม่ได้ช่วยอะไรเขาเลย555 แลเห็นเด็กน้อยตัวเล็ก 2 คน น้องอเล็กกับน้องเฟอร์กูสัน(นามสมมุติ) ด้วยสัญชาติญาณความสวยแบบมิสยูนิเวิร์สดักตบ ไปหยอกล้อเล่นกับหนุ่มน้อยทั้งสอง

ตัดภาพมาสู่ช่วงพูดคุย
Miss Universe: วันนี้หนูมาทำไมลูก
Kids: มากับแม่ แม่มาหุงข้าว
Miss Universe: แล้วหนูรู้ไหม ทหารมาทำไม?
Kids: มากินข้าว
Miss Universe: (หงายหลังไปแล้ว) หนูไม่เห็นความลำบากของพี่ทหารเลยใช่ไหมลูกกกกกกก (ไม่ได้พูด คิดในใจ)

และตอนแรกที่ได้ฟังเพื่อนคุยตอนแรกมา มีทั้งหมู่บ้านชาวพุทธ และชาวอิสลามอยู่ ฉันคิดในใจว่าจะอยู่ร่วมกันได้ไหม อยู่กันยังไง เพราะฉันก็เคยมีเพื่อนมุสลิม เวลาไปกินข้าวกัน เราอยากกินหมูกระทะ (จริงๆตักกุ้งกับปลาหมึกกรอบเยอะกว่า) เขาก็กินไม่ได้ ก็ต้องย้ายไปกินร้านที่เพื่อนกินได้ แล้วถ้าอยู่ร่วมกันตลอด มันจะเป็นยังไง

หลังจากงานบุญ ได้มีโอกาสคุยคนในพื้นที่ว่า ท่านเจ้าคณะจังหวัด พระเทพศีลวิสุทธิ์ เจ้าอาวาสวัดประชุมชลธาราที่จัดงานในครั้งนี้  ท่านเป็นผู้หล่อหลอมรวมใจของ ชาวบ้าน ไม่ว่าชาวพุทธหรืออิสลาม ถ้ามีวาระสำคัญต่างๆ เช่น วันครบรอบ หรือวันสำคัญต่างๆ ก็จะมีทั้งชาวพุทธและอิสลาม มาแสดงมุฑิตาจิตกันอย่างล้นหลาม ความอบอุ่นล้นวัดกันเลยทีเดียว สรุปคือ ก็อยู่รวมกันได้นะ พระผู้ใหญ่ ก็เป็นที่เคารพนับถือของคนในชุมชน แม้จะต่างศาสนิกกันก็ตาม (สาระก็มี เห็นมั้ยหล่ะ)



ขากลับจากวัดไปที่พัก
รถวิ่ง ผ่านตลาดที่ชุมชนแถวนั้น ยังนั่งหลังกระบะเหมือนเดิม อยากถ่ายรูป เลยยกมือถือขึ้นมาถ่ายรูปด้วยความตื่นตาตื่นใจ เพื่อนรีบสะกิด ให้เอาลงก่อน คนมองแล้ว ให้ทำตัวเหมือนคนกลับบ้าน อย่าทำตัวเหมือนคนแปลกที่ คงจะเห็นฉันตื่นเต้นเกินไปรึเปล่า รึว่าสวย แต่อุตส่าห์ถ่ายมาได้ตั้ง 1 รูป 

(ทำไมแค่เห็นคนขับมอไซด์ใส่หมวกกันน็อก แล้วยังผวาเลย ชั้นวางใจใครไม่ได้ทั้งนั้น)


ที่พักอยู่ข้ามอำเภอ  ใกล้จะค่ำแล้ว รถวิ่งเร็ว ไม่สิ รถวิ่งเร็วมาก ฉันก็กลัวจะไม่ปลอดภัย แต่เพื่อนบอกว่า มันปลอดภัยกว่าที่เราวิ่งช้า เพราะรถที่วิ่งช้า คือ รถที่เป็นเป้านิ่งได้ง่าย หมายความว่า ถ้าเขาต้องการวางระเบิดจริงๆ จะกะประมาณการกดระเบิดไม่ได้ มีสิทธิ์รอด หรือเจ็บน้อย คนที่นี่จึงขับรถเร็ว เพราะรักชีวิตของตนเอง พูดออกมายาก บรรยายด้วยภาพละกัน 


พอรถถึงจุดหมาย ผมฉันแข็งจนนึกว่ารังนกอยู่บนหัว

ผ่านไปสองวัน ถึงวันที่ 13
วันนี้ถึงเวลาพักผ่อน  พ่อเพื่อนอาสาเป็นไกด์พาเที่ยว พวกเราย้ายมานั่งด้านหน้ารถกันหมด  เพื่อที่จะได้ฟังท่านเล่าเรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับจังหวัดนี้
เขาว่า >>> ถ้าเราอยากรู้เรื่องราวการดำรงชีวิตของที่ไหน เขาว่าให้ไปดูที่ตลาด
พ่อบอกว่า>>> สัปดาห์ที่แล้ว ผู้ก่อการร้ายก็เพิ่งระเบิดตลาดนอกเมืองไป 555 ##พ่อเป็นคนตลก  แต่ตลาดบาเละฮิเลในเมืองที่พ่อพาขับรถผ่าน พ่อบอกว่าที่นี่ไม่มีระเบิดอย่างแน่นอน เขาบอกปลอดภัย อยากรู้ไหมว่าทำไม ...ไม่บอกหรอก 


ไปถึงหาดนราทัศน์ สถานที่ท่องเที่ยวอันดับหนึ่งของนราธิวาส (ยืมรูปจากเน็ตจ่ะ ถ่ายเองไม่สวยขนาดนี้)


หาดทรายขาว ยาวสุดลูกหูลูกตา  มีรถม้าแคระคอยบริการนักท่องเที่ยวที่อยากชมหาดแบบไม่ต้องเดิน รอบละ 30 บาท


ฉันเดินไป และก้มลงเอาสองมือช้อนทรายขึ้นมา  แทบอยากเอามีทาบอก ย่อเข่า แล้วอุทานถึงความอัศจรรย์ ทรายขาวละเอียดนุ่มมือมาก เหมือนพริกไทย

และที่อัศจรรย์ยิ่งกว่านั้น เพื่อนก็ก้มลงมาด้วย ทำให้ทรายเข้าตา --! 555 เสียบรรยากาศหมด

ลมพัดเย็น แต่ไม่กล้าเดินลงไปเล่นน้ำ เพราะชาวบ้านนั่งกันเป็นครอบครัว แต่งตัวเรียบร้อยกันมากๆ (ก็ตามหลักศาสนาเค้ามั้ยหล่ะเธอ) มีแต่นั่งเล่นถ่ายรูปกัน ไม่เห็นใครเขาเล่นน้ำกัน เลยได้แต่เดินเล่นเก็บบรรยากาศ ถ่ายรูปสวยๆ (ไม่ให้เห็นหน้าหรอก เดี๋ยวหลังไมค์มาจีบ)


ที่นี่ไม่มีเก้าอี้ชายหาดเลย แต่ก็ไม่ได้ต่างกับที่เคยเที่ยวทะเลมาเท่าไหร่ เพราะมีขยะตามชายหาดค่อนข้างเยอะ มีเพิงขายของรอบๆ ซึ่งอาจจะทำลายความสวยงามไปบ้าง ถ้าเรามองข้ามก็คงไม่กลบความสวยงามตามธรรมชาติได้ แต่ถ้ามากกว่านี้ก็ไม่แน่ ไม่อยากให้เป็นอย่างนั้นเลย (พูดสั้นๆว่าเป็นแค่คหสต.ข.จขกท.นะคะ อย่าว่าเค้านะ) 



กลับจากหาด ฤกษ์งามยามดี ไปเยี่ยมญาติผู้ใหญ่เพื่อนอีกอำเภอ ซึ่งก็คืออำเภอคือเจาะไอร้อง
เรียกคุณอา ตามเพื่อนละกันนะคะ ถึงแกจะแก่ก็เถอะ ถามอาว่า เป็นยังไงบ้าง คุยนู่นนี่นั่นตามประสาคนเพิ่งเคยเห็นหน้ากัน  สถานการณ์บ้านเมืองดีขึ้นไหม มีเหตุการณ์ตั้งหลายปีแล้ว (เอาเท่าที่จำได้นะคะ)

อาบอกว่า มันอันตราย จนไม่รู้สึกว่ามันอันตรายแล้ว อาว่าที่นี่ยังปลอดภัย ยะลาอันตรายกว่านะ (นี่ปลอดภัยแล้วหรือ ฮือ)

แต่ก็ไม่เข้าใจว่า “เขาไม่คิดจะแก้ปัญหาให้มันยั่งยืนกว่านี้แล้วหรือ” 

ส่งทหารมาประจำการเป็นชุดๆ พอหมดกะ ใครรอดก็กลับ ใครไม่รอดก็มีเงินเกื้อหนุน เดี๋ยวชุดใหม่ก็มา ทหารเขาก็ทำหน้าที่ตัวเองกันไป อาว่ามันเป็นเรื่องของงบประมาณ ที่ไม่จัดการให้สงบเด็ดขาด มันก็มีคนได้ประโยชน์ จะได้งบประมาณเยอะๆนี่แหละ พวกคนใหญ่คนโต @#@!!<@#!><

ทำไมไม่แก้ปัญหาให้ยั่งยืน เมื่อก่อนมันมีการตั้งนิคม ให้คนมาอยู่ ให้มีอาชีพ ให้ที่ดินทำกิน มีคนคอยช่วยคุ้มครอง ผ่านไปห้าปีหกปี คนจะอยู่ในพื้นที่ได้คุ้นชินเอง มันจะได้ขยายพื้นที่ปลอดภัย ตอนนี้ใครพอรวยหน่อยก็หนีไปที่อื่น คนพื้นเพก็น้อยลงทุกทีๆแล้ว @#@!!<@#!>< ตอนนี้การการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ไม่มีวันจบหรอก @#@#@$#%#$^2

(พอ ดี งาน ยุ่ง ไม่ ว่าง พา อา ไป ปรับ ทัด สะ นะ คะ ติ นะคะ)


อาบอกอีกว่า คนที่อารู้จักก็ยังเคยเจอความรุนแรงมาแล้ว ท่านเจ้าอาวาสวัด...เค้าลืม เค้าขอโทษ ท่านเพิ่งมาประจำวัดใหม่ๆ ท่านก็เอาเลย เปิดสวดมนต์เสียงตามสาย ทีนี้ มีผู้ไม่หวังดีมาเตือนท่าน  ว่าช่วยปิดเสียงหน่อย มาใหม่ อย่ามารบกวนคนแถวนี้

ท่านเจ้าอาวาส ก็ไม่สนใจ สองวันต่อมา มีระเบิดมาวางไว้ที่ถังขยะหน้าวัด แต่สะเก็ดระเบิดทะลุขาท่าน จากอีกด้านหนึ่ง ไปอีกด้านหนึ่ง เวลาล้างแผลก็ต้องเอาไม้พันสำลีใส่ยา ทำความสะอาดรู กลวง ใน ขา  กว่าแผลจะปิดสนิท.......................


วันนั้น ต้องไปส่งเพื่อนคุณพ่อที่สนามบินในเมือง เลยเวลามาแล้ว ก็ขอตัวกลับก่อน ไม่งั้นคงจะมีเรื่องราวมาเล่ามากกว่านี้ ก่อนกลับก็ยังไม่ลืมให้ศีลให้พรอา เอ๊ย อวยพรให้คุณอาอยู่ที่นี่อย่างปลอดภัยด้วยนะคะ อย่าให้หน้าหนังสือพิมพ์ออกข่าวผู้เคราะห์ร้ายคืออาเลย

หลังจากเราไปสนามบิน ก็กลับที่พักกัน หลังอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ เพื่อนนั่งเล่นไลน์อยู่ เพื่อนก็เงยหน้ามาถามเราว่า รู้ไหมว่าวันนี้วันอะไร
ฉัน>>ฮื่อ (สายหัว) ดีที่พวกเรากลับมาจากทางนั้นก่อนน่ะ ไม่งั้นคนที่เป็นข่าวในไลน์อาจจะเป็นเราก็ได้ วันนี้วันที่ 13 มี.ค......มีข่าวใหญ่  

ซึ่งจะเป็นอะไรนั้น เดี๋ยวมาเล่าต่อ EP.3 ซึ่งเป็นตอนจบละกันนะคะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น