วันอังคารที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2559

เจาะไอร้อง ครั้งแรกแต่ไม่ใช่ครั้งสุดท้าย EP.1

<<... เจาะไอร้อง... >> ครั้งแรกในชีวิต แต่ไม่ใช่ครั้งสุดท้าย EP.1


"โอ้โอ ปักษ์ใต้บ้านเรา มีน้ำภูเขา ทะเลกว้างไกล จะไปไหน กลับใต้บ้านเรา"


กราบสวัสดีท่านผู้อ่านทุกท่านอย่างเป็นทางการ และขอฝากตัวไว้กับกระทู้แรกนี้ด้วยนะคะ

วันนี้ผู้เขียนจะมาเล่าเรื่องราว การไปเยือนภาคใต้เป็นครั้งแรก  แบบ exclusive กว่าที่ไหนๆ อย่าคิดว่าจะได้ไปถ่ายรูปสวยๆทีเกาะตาชัย check in เก๋ๆที่หลีเป๊ะ หรืออัพ IG ที่สิมิลัน เพราะที่จับผลัดจับผลู ได้ไปไม่รู้ตัว นั่นก็คือ หนึ่งใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย คือ นราธิวาส จังหวัดที่หลายๆคนยังเกรงใจ ถ้าให้เลือกไปขอบายดีกว่า 
อยากบอกเลยว่า ผู้เขียนไปสัมผัสมาแล้ว  แอบพูดดังๆเลยว่า

"ชีวิตมันต้องมีสักครั้งจริงๆค่ะ"




ช่ายังไม่อยากตายนะ!!!(ติช่าก็มาด้วย)  แต่เหมือนองค์แม่จะดลใจ ฉันตอบตกลงไปอย่างเสียไม่ได้ แล้วเพื่อนก็ทำการจองตั๋วเครื่องบินทันที มันบอกอีกว่าไม่ต้องห่วงเรื่องความปลอดภัย พ่อของเพื่อนอีกคนเป็นคนในพื้นที่ สบายอยู่แล้ว ทางหนีที่ไล่พร้อม (มันเชิญชวนพร้อมคำโปรย ซึ่งทำให้ฉันร้องไห้หนักมาก) แต่ทำไงได้ เสียชีพอย่าเสียสัตย์ เสียเข็มขัดอย่าเสียกางเกง ไปก็ไปว๊ะ!!

คืนก่อนจะไป ฉันนอนอย่างกระสับกระส่าย อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เคยได้ยินแต่ข่าวเหตุการณ์ความรุนแรง ไม่รู้ว่าเราจะเอาชีวิตไปทิ้งไว้ที่นั่นหรือเปล่า 

ตื่นขึ้นมา ฉันเหมือนหมีแพนด้า เก็บกระเป๋าเสร็จ เราทั้งหมด 3 คน เดินทางไปขึ้นเครื่องที่สุวรรณภูมิ  การเดินทางค่อนข้างฉุกละหุก เพราะวิ่งขึ้นเครื่องแทบไม่ทัน แต่ขึ้นเครื่องไปแล้ว ยิ้มได้สมชื่อ Thai Smile แอร์โฮสเตสสวยระดับนานาชาติ คนหนึ่งเหมือนไอดอลเกาหลี อีกคนสวยคมเหมือนแขกขาว ดีที่เจ้าของกระทู้คล้ายมิสยูนิเวอร์ส สวยตีคู่กันมา เลยไม่รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเท่าไหร่ (ติ่งหูคล้าย555) แอร์น่ารัก สอนการใช้อุปกรณ์ก็น่ารักเหมือนหลีดจุฬาฯ ดูแล้วเพลินตาดี 



อาหารบนเครื่อง เป็นขนมปังอะไรไม่รู้ อุ่นร้อนๆ ไส้เหมือนแกงเนื้อหมูเนื้อไก่อะไร ไม่เห็นใส่มาเลย มีแต่ผัก คงตั้งใจทำให้ใครก็กินได้ แต่ก็อร่อยดีค่ะ


พอเครื่องใกล้จะลง มองออกไปนอกหน้าต่าง คุณพระคุณเจ้าช่วย!!! มองเห็นทะเลก่อนเครื่องลง  บอกเลยว่าสวยมากๆ รู้แล้วว่าทำไม แอร์ถึงสอนการใช้เสื้อชูชีพนานจัง เผื่อland ลงทะเลแหละแก!!! บ้า เค้าให้ดูความสวยงามที่ธรรมชาติรังสรรค์เถอะ สนามบินที่นี่ติดทะเลค่ะ ไม่ได้เป็นแห่งเดียวที่ติดทะเล มีที่อื่นอีก  มันคือความ contrast ที่สวยมากๆๆๆๆ  ขอใช้รูปจากเน็ต เพราะไม่ได้นั่งติดหน้าต่าง ถ่ายไม่ทัน

เมื่อเท้าแตะเมืองนราธิวาส



ถึงสนามบินนราธิวาส พ่อเพื่อนมารับ พวกเราขอนั่งกระบะหลัง(แบบมีหลังคา) เพื่อสูดอากาศและสัมผัสเมืองนราให้เต็มที่ การเดินทางไปที่พัก  ใช้เวลานาน

เพื่อนเลยเล่าให้ฟังเรื่องต่างๆ เกี่ยวกับที่นี่ ระหว่างทางสังเกตเห็นว่านราธิวาสเป็นจังหวัดที่คงความสวยงามของธรรมชาติไว้ ได้มาก มีต้นไม้เขียวสองข้างทาง บ้านชาวบ้านก็แบบดั้งเดิม มีปั๊มน้ำมันหลอดอยู่เลย ถามว่าร้อนเหมือนกรุงเทพฯไหม ก็ร้อนน่ะ แต่มีความชุ่มชื้นจากต้นไม้มาแทน  ทำให้รู้สึกสบายตัว เหมือนมีมอยเจอร์ไรเซอร์เคลือบผิวของชั้นอยู่เสมอ



แต่นั่งรถไปเรื่อยๆ เอ๊ะ!ทำไม  มีกลิ่นแปลกๆ เกือบจะหอมล่ะ เพียงแต่เหม็นมากกว่า เพื่อนคนใต้ช่วยอธิบาย คือกลิ่นยาง เพราะคนแถวนี้เขาปลูกยางกันเยอะ ช่วงนี้เรียกว่าช่วงแบงค์ร้อย เพราะว่าใบต้นยางจะเปลี่ยนเป็นสีแดง จะผลัดใบ ฤดูนี้ไม่ควรกรีดยาง ต้นยางจะตายเร็ว แต่บางคนก็กรีด เนื่องจากราคายางช่วงนี้ต่ำ ไม่กรีด ก็ไม่มีกิน 

มองไปสองข้างทาง เห็นชาวบ้านบ้างประปราย แต่มีกลิ่นอายของชาวบ้านมุสลิมและวัฒนธรรมอิสลามอยู่เนืองๆ สังเกตได้จากสวมฮิญาบ นั่งรถไปเรื่อยๆ (เข้าเมือง) จะเจอทหาร ทุกๆระยะ ประมาณ 200 เมตร รถวิ่งไปสักพัก ก็ต้องชะลอตัว เพราะทหารตั้งด่าน ซ้ายขวา 

เพื่อนเล่าให้ฟังว่า ชาวบ้านจะมีชาวไทยพุทธและมุสลิม บางพื้นที่อยู่รวมกัน บางพื้นที่อยู่แยกกันเป็นหมู่บ้าน แบบยังไม่ต้องเจอชาวบ้านก็สังเกตได้ว่า หมู่บ้านไหนไทยพุทธ หมู่บ้านไหนมุสลิม สิ่งนั้นก็คือ... 
หมา และ แพะ
(ชาวพุทธจะมีสัตว์เลี้ยงเป็นหมา ชาวอิสลามจะมีสัตว์เลี้ยงเป็นแพะ)


ระหว่างทางก็สังเกตได้อีกอย่างหนึ่ง คือ จากที่มีการตั้งด่านเป็นจุดๆแล้ว ส่วนใหญ่ที่ที่มีแนวป้องกันคือวัด ซึ่งจะมีลวดหน้าอยู่รอบๆกำแพง  ซึ่งบ่งบอกว่า >> วัดนี้มีกองกำลังทหารคอยคุ้มครองอยู่ จะได้ประโยชน์ทั้ง 2 ทาง ทหารก็ได้ดูแลพระและชาวบ้าน ส่วนทหารก็มีที่พักด้วย 

ไม่น่าเชื่อ คือมันเป็นการผสมผสานที่แตกต่าง แต่  อบอุ่น แต่ฉันก็แอบใจหวิวๆหน่อย ว่ามันเกิดเหตุรุนแรงมากขนาดนั้นเลยหรือ แล้วฉันจะรอดกลับไปไหม  เท่าที่เพื่อนรู้และเล่าให้ฟังก็บอกว่า เป็นโดยพื้นที่มากกว่า ถ้าพื้นที่รุนแรง ก็จะมีทั้งทหาร และอาสาสมัครชาวบ้านมาช่วยเข้าเวร คอยดูแลยามค่ำคืนด้วย ฉันเชื่อบ้าง ไม่เชื่อบ้าง  แต่จะมาพิสูจน์กันในระยะเวลาที่อยู่นราธิวาสนี่แหละ

วันที่ 12

ตื่นแต่เช้ามาร่วมงานถวายสังฆทาน 323 วัด ที่วัดประชุมชลธารา อ.สุไหงปาดี จ.นราธิวาส นอกจากจะมีคณะสงฆ์ ซึ่งท่านมารับสังฆทานมากมายแล้ว (จีวรหลากสีมาก) ยังมีกองกำลังทหารตำรวจ มาคอยเฝ้าทั้งหน้าวัด และภายในวัดอีกด้วย ช่างเป็นงานบุญที่ตื่นเต้นเหลือเกิน ให้ตายสิ !!! 

พระถือบาตร ทหารถือปืน ในวัดอย่างกับงานกีฬาสี ทีมส้ม(พระ) ทีมเขียว(ทหาร ตำรวจ) ทีมขาว(คนมาร่วมงาน) พอเสร็จพิธี ก็มีการนำของตักบาตร มาแจกจ่ายให้ตัวแทนวัดต่างๆรับไป จากการสอบถามว่า มาจัดครั้งแรก ของที่นี่ แต่ครั้งก่อน ก็จัดที่วัดอื่นๆ ซึ่งก็อยู่ภายใน 3 จังหวัดนี่แหละ


    

งานบุญครั้งนี้ รู้สึกแปลกตา เพราะไม่เคยเห็นทหาร มาช่วยดูแลมาก่อน ด้วยสายตาดี เห็นรถทหาร อยู่ภายในวัด คนสวยย่อมต้องอยากเซลฟี่กับของแปลก เลยไปด้อมๆมองๆ ถ่ายรูป ลองลูบรถ  และเคาะๆดู รถหนามาก เพราะเสียงไม่ก้องเลย มีพี่ทหารที่อยู่แถวนั้นพอดี เราเลยได้โอกาสเลียบๆเคียงๆ ถามสารทุกข์สุขดิบ เผื่อคนไทยทั้งประเทศด้วยเลย # สวยแล้วยังมีน้ำใจอีก


(ยูนิฟอร์มนี้ เรียกว่าชุดทหารพราน ในใจลึกๆแล้ว คิดว่า อาวุธในตัวพี่นี่ ก่อสงครามกลางเมืองได้เลยน่ะ นี่เรามางานบุญนะคะพี่ จะครบไปไหน)


พี่ทหารบอกว่า  “อยู่ที่นี่ ไม่ได้กลัว ถ้าคนจะตายยังไงก็ตาย พื้นที่ตรงนี้(ในเมืองสุไหงปาดี) ยังไม่ค่อยรุนแรงเท่าไหร่ ที่รุนแรงจะเป็นรอบนอกมากกว่า เห็นรถทหารแข็งแรงๆแบบน่ะ มีกระจกกันกระสุนรอบคัน เรียกว่ารับลูกกระสุนได้โดยไม่สะเทือน 

“แล้วระเบิดก็ไม่สะเทือนใช่ไหมพี่”  พี่ทหารตอบ “ไม่รอดครับ ไปทั้งคัน”   

“การเดินทางจะต้องค่อนข้างต้องระมัดระวัง ฟ้ามืดเป็นช่วงเวลาที่น่ากลัวของที่นี่ ไม่จำเป็นจะไม่ออกนอกบ้านกันหรอก  ยิ่งถ้าเป็นระดับผู้หลักผู้ใหญ่ ยิ่งจะต้องระวังตัวเอง ด้วยวิธีต่างๆ เช่น เดินทางโดยไม่แจ้งล่วงหน้า เปลี่ยนรถบ่อยนๆ ฯลฯ และเดี๋ยวนี้ยุทธวิธีของเหล่าผู้ก่อการร้าย ก็มาในรูปแบบใหม่ๆขึ้นเรื่อยๆ เช่น มีการฝังลูกระเบิดใต้ถนน” 

“หา!!! เจาะถนนไม่ง่ายมั้งพี่ เห็นก็รู้แล้ว ”

“ ไม่สิน้อง!!  เค้าใช้วิธีขุด พื้นดินด้านข้าง  ค่อยๆขุดๆ ไปเรื่อยๆ หลายวัน หลายสัปดาห์ จนสามารถเอาลูกระเบิดมาฝังได้ ที่เหลือก็แค่ต่อสายไฟ จุดระเบิด บึ้มมม ได้ง่ายๆ  คนพวกนี้ เค้าอดทน บางครั้งฝังไว้หลายเดือน แล้วค่อยมาจุดก็มี บางครั้ง ฝังไว้จนลืม เจ้าหน้าที่ก็สามารถมาเก็บกู้ได้ก่อน” 

ซึ่งระเบิดก็มีการพัฒนาความอันตรายไปอีกขั้นเหมือนกัน แต่ขอไม่เปิดเผยข้อมูลตรงนี้ละกัน เดี๋ยวเป็นภัยต่อความมั่นคง  สงสารแต่เจ้าหน้าที่ที่ต้องเสียสละชีวิตตรงนี้ บ่อยครั้ง ที่มีการปะทะกันในพื้นที่ตรงๆ ซึ่งในแต่ละครั้ง จะมีสูตรสำเร็จ 3 อย่าง คือ



(อุตส่าห์แต่งใส่รูปน่ารักให้น่ะ จะได้บอกได้เลยว่า ไม่ใช่คนจริงๆ)


แต่ข้อมูลก่อนหน้าก็ไม่ได้โหดร้ายจนเกินไป เพราะพี่ทหารให้ท่องคาถา ระวัง 3 อย่าง  คือ


1.    ถังขยะ (ไว้ซุกซ่อนระเบิด)
2.    รถเก่า (ไว้ทำคาร์บอมม์)
3.    รถทหาร (เป็นเป้าโจมตีของผู้ก่อการร้าย)


###ส่วนทริปแห่งความทรงจำนี้ จะเป็นยังไงต่อไป ขอบอกว่ามีเรื่องให้ตื่นเต้นอีกแน่นอน ผู้เขียนขอค่อยๆเรียบเรียงก่อน โปรดติดตามต่อกระทู้หน้านะคะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น